ที่มาของบทความตอนที่ 1 เขียนโดยคุณ Love Thailand รักในหลวง บทความตอนที่ 2-4 เขียนโดยคุณ Chalee Na Roied
ตอนที่ 1
อเมริกาลงทุนเรื่องการวิจัยเชื้อไวรัสอีโบลาไว้เยอะมาก รวมทั้งมีการจดลิขสิทธิ์ในอีโบลาด้วย
- โดยศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐฯ ( CDC ) ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ใน ' สิ่งประดิษฐ์? ' ที่มีชื่อว่าอีโบลา
- ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐฯเป็นเจ้าของสิทธิบัตรในสายพันธ์เฉพาะของอีโบลาที่รู้จักกันในชื่อ “ อีโบบัน ” , มีเลขที่สิทธิบัตรคือ No. CA2741523A1 และได้รับรางวัลในปี 2010
- ผู้จดสิทธิบัตรได้อธิบายอย่างชัดเจนในสิทธิบัตรซึ่งรวมถึง รัฐบาลสหรัฐฯ ในฐานะที่มีตัวแทนโดยเลขานุการ, กรมการบริการสุขภาพและมนุษย์, ศูนย์ควบคุมโรค.
สรุปว่าในสิทธิบัตรดังกล่าว “ มีการคิดค้นได้จัดเตรียมไวรัสอีโบลากับมนุษย์ที่ถูกแยกออกมาแสดงเป็น บันดิบูโย ( อีโบบัน ) และได้ฝากเก็บไว้ในศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ( CDC ) ที่แอตแลนตา, จอร์เจีย, สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2007 และ ตกลงลงนามผูกพันตามสนธิสัญญา ตามเลขทะเบียน 200706291.
สิ่งประดิษฐ์ปัจจุบันปฏิบัติอยู่บนพื้นฐานของการแยกและตรวจวิเคราะห์บ่งชี้สายพันธุ์ของไวรัสอีโบลาใหม่ในมนุษย์, อีโบบัน. อีโบบันถูกแยกมาจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้เลือดออกในการแพร่ระบาดเมื่อเร็วๆนี้ในอูกันดา. ”
มันไม่ได้มีมูลค่า , อีกอย่างหนึ่ง , อีโบบันไม่ได้เป็นชนิดเดียวกันกับชนิดในปัจจุบันที่เชื่อว่ากำลังหมุนเวียนอยู่ในอาฟริกาตะวันตก.CDC ต้องการขยายผลงานสิทธิบัตรของ CDC ที่จะรวมสายพันธุ์ให้มากขึ้นเข้าไป, และนั่นอาจจะเป็นอะไรอย่างดีที่ว่าทำไมเหยื่อชาวอเมริกันที่ติดเชื้ออีโบลาถึงได้ถูกนำมาในสหรัฐฯเป็นที่แรก. และเขาก็รักษาหายด้วย
เก็บเกี่ยวไวรัสอีโบลาจากเหยื่อที่ติดเชื้อเพื่อที่จะเก็บส่งแฟ้มข้อมูลในสิทธิบัตร
1) สกัดไวรัสอีโบลาจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อ.
2) อ้างสิทธิ์ในการ “ คิดค้น ” ไวรัสนั้น.
3) จัดส่งข้อมูลสำหรับการผูกขาดในการจดสิทธิบัตรในการป้องกันไวรัส
เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงได้เกิดขึ้น, สิ่งแรกคุณต้องเข้าใจก่อนว่าสิทธิบัตรที่แท้จริงคืออะไรและทำไมถึงมีมันอยู่. สิทธิบัตรคือสิ่งที่รัฐบาลบังคับให้มีการผูกขาดซึ่งจะเสนอให้เป็นพิเศษให้ได้รับเฉพาะบุคคลหรือองค์กรใดๆ. มันอนุญาตให้บุคคลหรือองค์กรใดๆนั้นสามารถหาผลกำไรเป็นพิเศษเฉพาะจาก “ สิ่งประดิษฐ์ ” หรือปฏิเสธบุคคลหรือองค์กรอื่นๆในความสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์เพื่อผลกำไรของพวกเค้า.
มันจึงนำมาสู่คำถามที่ชัดเจนว่า : ทำไมรัฐบาลสหรัฐฯถึงอ้างสิทธิ์ในการ “ คิดค้น ” อีโบลาและแล้วก็อ้างสิทธิ์ การผูกขาดเฉพาะพิเศษในความเป็นเจ้าของมัน ?
รัฐบาลสหรัฐฯอ้างสิทธิ์เฉพาะพิเศษในการเป็นเจ้าของ “ สิ่งประดิษฐ์ ” เชื้ออีโบลา
ในส่วน “ บทสรุปของสิ่งประดิษฐ์ ” ของเอกสารสิทธิบัตรได้อ้างสิทธิ์อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลสหรัฐฯอ้างความเป็น “ เจ้าของ ” ไวรัสอีโบลาทั้งหมดที่มีส่วนร่วมเหมือนกันประมาณ 70% กับ อีโบลาที่ถูกคิดค้นขึ้น.
ทำไมศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐฯ ( CDC ) ถึงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ใน ' สิ่งประดิษฐ์ ' อีโบลา ?
สิทธิบัตรอาจช่วยอธิบายว่าทำไมเหยื่ออีโบลาถึงได้ถูกส่งมาที่สหรัฐอเมริกาและอยู่ภายใต้อำนาจทางการแพทย์ของ CDC. ผู้ป่วยเหล่านี้กำลังพกพาทรัพย์สินทางปัญญาที่มีค่าในรูปแบบสายพันธุ์ที่แตกต่างของอีโบลา, และศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐฯ ( CDC ) ตัดสินใจอย่างชัดเจนว่าจะขยายแฟ้มผลงาการจดสิทธิบัตรโดยการ เก็บเกี่ยว, ศึกษา และ มีศักยภาพในการจดสิทธิบัตรสายพันธ์ใหม่หรือสายพันธ์ที่กลายพันธ์เปลี่ยนแปลงไป.
อย่างไรก็ตาม, มีเหตุผลที่แตกต่างกันทั้งหมดที่นำผู้ป่วยอีโบลามาที่อเมริกา: เพื่อพวกเค้าสามารถที่จะหาผลประโยชน์สำหรับการทดลองทางการแพทย์, เก็บเกี่ยวอาวุธทางชีวภาพทางทหาร หรือ อ้างสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา.
แต่ในอีกทางหนี่ง, ทำไมต้องจดสิทธิบัตร ? การจดสิทธิบัตรอีโบลาดูเหมือนเป็นการแปลกมากเท่ากับการพยายามจดสิทธิบัตรโรคมะเร็ง หรือ โรคเบาหวาน. ทำไมองค์กรของรัฐบาลถึงอ้างสิทธิในการ “ การคิดค้น ” โรคติดเชื้อนี้ และแล้วอ้างถึงการผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวในการแสวงหาผลประโยชน์ของตนสำหรับใช้ในการพาณิชย์ ?
CDC หวังที่จะเก็บค่าลิขสิทธิ์จากวัคซีนอีโบลาหรือไม่ ? มันกำลังมองหาสายพันธ์ที่แตกต่างมากขึ้นและก็ทำการจดสิทธิบัตรพวกเหล่านั้นด้วยเช่นกัน ?
ไม่มีความผิดพลาดว่าการทำกำไรหลายพันล้านดอลลาร์เป็นเดิมพันในเรื่องนี้ทั้งหมด. หุ้นของเท็กไมราพุ่งขึ้นกว่า 11 % ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่เป็นแรงกดดันให้ องค์กรอาหารและยา FDA ให้เส้นทางที่รวดเร็วกับการทดสอบวัคซีนอีโบลาที่บริษัทได้จัดตั้งขึ้น. “ ผู้รณรงค์เรื่องสุขภาพได้เริ่มต้นคำร้องที่ได้รับการลงนามโดยประมาณ 15,500 คน ในเว็บ change.org เพิ่มความกดดันให้ FDA ให้อนุมัติยาในกรอบระยะเวลาที่เป็นไปได้ที่น้อยที่สุด,” BidnessEtc.com รายงาน?
ละครทางการแพทย์ที่ถูกเขียนบทไว้อย่างระมัดระวัง
ด้วยวิธีนี้, เราเริ่มที่จะเห็นโครงสร้างของละครทางการแพทย์ที่ซับซ้อนเข้ามารวมกัน : ความตื่นตระหนกในโรคระบาดจากทั่วโลก, สิทธิบัตรของรัฐบาล, การนำเข้าเชื้อโรคอีโบลาเข้ามาในเมืองใหญ่ของอเมริกา, และการทดสอบวัคซีน, การเกิดขึ้นของบริษัทยาที่เป็นที่รู้จักเพียงเล็กน้อย และเสียงร้องขอจากสาธารณะสำหรับ FDA ให้เส้นทางที่รวดเร็วกับวัคซีน.
ถ้าการแสดงที่ 2 ยังอยู่ในวิถีทาง, ละครทางการแพทย์นี้อาจจะมีบางวันที่เกี่ยวข้องกับ “ การเกิดอุบัติเหตุทางการทดลอง ” ในห้องทดลองของอเมริกา, “ การหลุดจากที่กักเก็บ ” ของอีโบลาเข้าไปสู่ประชาชน, และการบังคับใช้ในการรณรงค์การฉีดวัคซีนป้องกันอีโบลาไปทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้ เท็กไมรา รวยขึ้น และผู้ลงทุนที่วางตำแหน่งใน CDC ในการจดสิทธิบัตรไวรัสของมันเป็น “ ผู้ช่วยชีวิตของประชาชนชาวอเมริกัน.”ใช่, เราเคยได้ยินดนตรีนี้มาก่อน, แต่ครั้งสุดท้ายโดยประมาณมันถูกเรียกว่า ไข้หวัดหมู. สูตรเป็นเช่นเดียวกันเสมอ, สร้างความตื่นตระหนก, นำวัคซีนออกสู่ตลาด, และแล้วทำให้รัฐบาลตกใจกลัวเพื่อที่จะซื้อวัคซีนมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่พวกเค้าไม่จำเป็นต้องใช้.
ที่มา http://www.naturalnews.com/046290_Ebola_patent_vaccines_profit_motive.html#ixzz39VH8UoNG
http://www.google.com/patents/CA2741523A1?cl=en
ตอนที่ 2
จริงๆแล้วโดยส่วนตัว เชื่อว่าทางรัฐบาลสหรัฐเอง น่าจะมีทั้งยาและวัคซีน ในการรักษาแล้ว เพราะไวรัสอีโบลา เป็นอาวุธขีวภาพ จากการวิจัยและพัฒนาในห้องแล็บ ส่วนใหญ่ถ้ามีการวิจัยอาวุธชีวภาพ ย่อมมีการวิจัยวัคซีนป้องกันควบคู่กันไป แต่จะเปิดเผยออกมาหรือไม่นั้น มันก็คงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ของผู้อยู่เบื้องหลังการแพร่ระบาดดังกล่าว อย่าลืมนะครับว่า บริษัทยาค่อนข้างมีอิทธิพลต่อรัฐบาลสหรัฐมากพอสมควร และถ้าเป็นกรณีอาวุธชีวภาพ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับ กลาโหมหสรัฐ ซึ่งมีกระแสข่าวเล็ดลอดออกมาว่า ภายหลังมีการประกาศ ผลสำเร็จด้านการรักษาผู้ป่วย ที่เป็นนายแพทย์ชาวอเมริกันด้วยยา ZMapp ทางกลาโหมสหรัฐ ก็เข้ามาระงับยับยั้งไว้ชั่วคราวเพราะอาจจะยังไม่ถึงเวลานั่นเอง
ถ้ามองในแง่ของธุรกิจก็คือ ความต้องการใช้ยาหรือผู้ป่วย(demand) ยังน้อย แต่สต็อคยามีเป็นจำนวนมาก(supply) ทำให้ยาราคาถูก ถ้ารอเวลาให้เชื้อแพร่ระบาดมากกว่านี้ หรือรอให้เกิดความตื่นตะหนก แก่สาธารณะชน ย่อมต้องมีความต้องการยา เป็นจำนวนมาก
และเป็น"ความบังเอิญ" นะครับ ที่ช่วงนี้ชาวอเมริกันกำลัง วิตกกังวลเรื่อง การแพร่ระบาดของ ไวรัสอีโบลา ท่ามกลางกระแสข่าวว่า หน่วยงานด้านของรัฐ ได้สั่งซื้อชุดป้องกันสำหรับเจ้าหน้าที่มากกว่า 160,000 ชุดและสั่งให้เตรียมพร้อมรับมือ การแพร่ระบาดในเดือนนี้ ยังกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
ที่มา http://www.businessweek.com/articles/2014-09-24/ebola-drug-zmapps-development-delayed-by-pentagon-agency
http://www.zerohedge.com/news/2014-10-01/how-bad-could-it-get-us-government-order-160000-hazmat-suits-gives-clue
ตอนที่ 3
ทางด้านหน่วยข่าวของรัสเซีย ได้รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐน่าจะมีส่วนรู้เห็น ในการแพร่ระบาดของ อีโบลาและโปลิโอ แต่ยังไม่ทราบแน่ชัด ถึงวัตถุประสงค์ดังกล่าว เพราะมีการเตรียมความพร้อมหน่วยงานฉุกเฉิน รับมือล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือน และสั่งให้หน่วยงานดังกล่าวเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด ในเดือนตุลาคม ส่วนการแพร่ระบาดของโปลิโอนั้น น่าจะมีวางแผนล่วงหน้ามาหลายปี ตั้งแต่การแจกจ่ายวัคซีน ที่ไม่มีคุณภาพให้กับ เด็กชายชาวเมริกัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เอาเป็นว่านั่นเป็นกระแสข่าว ที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐนะครับ ซึ่งตังผมเองก็ไม่ได้ แปลกใจอะไรเพราะเคยคาดการณ์ล่วงหน้าแล้ว และการแพร่ระบาดนั้น สาเหตุน่าจะมาจากอาวุธชีวภาพ หรือไม่ก็เกิดจากการจงใจ ให้เชื้อไวรัสดังกล่าว แพร่กระจายโดยไม่มีการเตรียมการรับมือ ทั้งๆที่ศักยภาพของหน่วยงาน ด้านควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐ(CDC) มีศักยภาพเพียงพอ (ถ้าตั้งใจที่จะทำจริงๆ) เพราะมีกระแสข่าวว่า CDC เป็นหน่วยงานที่รู้เรื่องไวรัสดังกล่าวมากที่สุด และมีการปล่อยข่าวออกมาว่า วัคซีนป้องกันไวรัสอีโบลา ใช้ได้ผลกับคนผิวขาวเท่านั้น ซึ่งสร้างกระแสข่าวดังกล่าว แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ถึงกระแสข่าวที่เกิดขึ้นว่าจริงเท็จแค่ไหน?
เพราะฉะนั้นโดยส่วนตัวผมเชื่อครับว่า การะบาดของไวรัสอีโบลา ที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐนั้น มีเบื้องหลังแน่นอน ถ้าไม่ได้มีการป้องกันเต็มที่ เพื่อ"จงใจ"ให้เกิดการแพร่ระบาดนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับ เมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์ 9/11 ที่หน่วยข่าวกรองและ เอฟบีไอ ก็รู้ล่วงหน้าว่าจะมีการโจมตีตึก WTC แต่ก็ไม่มีมาตรการป้องกันหรือเตรียมการรับมือ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด(conspiracy theory) นั่นเอง...
ที่มา http://www.eutimes.net/2014/10/ebola-polio-catastrophe-sweeping-us-blamed-on-obama-regime/
http://www.ibtimes.co.uk/ebola-vaccine-only-works-white-people-fake-news-story-goes-viral-sparks-outrage-social-media-1467543
ตอนที่ 4
เกี่ยวกับการส่งทหารสหรัฐ 3,000 นายเข้าไปยังแอฟริกาและขึ้นตรงกับ "USAFRICOM" โดยอ้างภาระกิจในการต่อสู้กับ อีโบลานั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับน้ำมัน ที่สำรวจพบบริเวณชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก ซึ่งจีนเองช่วงนั้นก็ส่งทหาร และบริษัทน้ำมันเข้าไปลงทุนรับสัมปทาน ขุดเจาะน้ำมันใน ประเทศแอฟริกาเป็นจำนวนมากซึ่งท้ายที่สุด ก่อการร้ายเครือข่าย ISIS และการแพร่ระบาดของอีโบลา ก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง "petrodollar" ที่กำลังขับเคี่ยวกับ "PetroYuan" ซึ่งเป็นที่มาของสงครามตัวแทน(Proxy war) นั่นแหละครับ
ที่มา http://www.globalresearch.ca/obamas-war-on-ebola-or-war-for-oil-sending-3000-troops-to-african-ebola-areas-that-happen-to-export-oil-to-china/5406142
0 Response to "ซีดีซีของสหรัฐ ลงทุนเรื่องการวิจัยเชื้อไวรัสอีโบลา หวังพัฒนาอาวุธชีวภาพ และการทำกำไรจากยาหรือวัดซีน"
แสดงความคิดเห็น