วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เกิดรูรั่วขนาดใหญ่ในชั้นโอโซนเหนือทวีปแอนตาร์กติกาที่ขั้วโลกใต้


      22 ส.ค.57 เกิดรูรั่วในชั้นโอโซนเหนือทวีปแอนตาร์กติกาที่ขั้วโลกใต้ โดยข้อมูลการศึกษาใหม่นี้จาก Nasa , Esa และ NOAA ได้แสดงให้เห็นถึงบริเวณพื้นที่ สีฟ้า , สีน้ำเงิน ที่มีชั้นโอโซนบางมากอย่างผิดปกติ ซึ่งปรากฏเป็นรูวงกลมขนาดใหญ่เหนือทวีปแอนตาร์กติกา ตั้งแต่วันที่ 14-22 ส.ค.57  ขณะพื้นที่โดยรอบๆของรูรั่วเช่น สีเหลือง , แดง , ชมพู กับแสดงให้เห็นถึงชั้นโอโซนที่มีความหนาแน่นอยู่อย่างเป็นปกติ

      โดยชั้นโอโซน เป็นส่วนหนึ่งชั้นบรรยากาศของโลกที่ประกอบด้วยโอโซนในปริมาณมาก ชั้นโอโซนช่วยดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ประมาณ 97-99% ของรังสีทั้งหมดที่แผ่มายังโลก
โอโซนคือรูปแบบพิเศษของออกซิเจน ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ในชั้นของบรรยากาศชั้นบน ๆ ชั้นโอโซนนี้มีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อโลก




      ฮาโลคาร์บอน (HC) คือสารประกอบคาร์บอนที่ รวมตัวกับ ฟลูออรีน คลอรีน โบรมีน หรือ ไอโอดีน   ฮาโลคาร์บอน ที่ประกอบด้วยคลอรีน เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs), ไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFCs), คาร์บอนเตตระคลอไรด์ (CCl4), เมธิลคลอโรฟอร์ม (CH3CCl3) และรวมกับโบรมีน ที่เรียกว่า ฮาลอน (halon) ซึ่งเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการทำลายชั้นโอโซน ส่วนมากมักเกิดจากการสังเคราะห์ การลดลงของชั้นโอโซนมีผลทำให้พลังงานมีการแผ่รังสีเป็นลบ และพลังงานการแผ่รังสีสุทธิโดยฮาโลคาร์บอนจะน้อยกว่าพลังงานการแผ่รังสีตรง CFCs ต่างๆ จะถูกสลายตัวโดยแสงอาทิตย์ช่วงอัลตราไวโอเลตในชั้นสตราโตสเฟียร์และมีช่วงชีวิตยาว เช่น CFC-11 =50 ปี อย่างไรก็ตาม HCFCs และ เมธิลคลอโรฟอร์ม ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ประกอบด้วยไฮโดรเจน จะทำปฏิกิริยากับอนุมูลไฮดรอกซิลในชั้นโทรโพสเฟียร์ ทำให้มีช่วงชีวิตที่สั้น (เมธิลคลอโรฟอร์มมีช่วงชีวิต ประมาณ 5 ปี) ระดับของฮาโลคาร์บอน เช่น ซีเอฟซีต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี หรือมากกว่านั้นในทศวรรษที่ 1970 แต่ปัจจุบันได้หยุดการเพิ่มขึ้นแล้วเนื่องจากกฏหมายที่ห้ามการผลิตและการปล่อยสารทำลายโอโซนในพิธีสารมอนทรีออลและการแก้ไขต่างๆในเวลาต่อมา

แนวโน้มระยะยาวของ ก๊าซฮาโลคาร์บอนต่างๆ มีดังนี้

- CFC-11   สูงสุดปี 1992 หลังจากนั้นเริ่มลดลง ยังไม่มีข้อมูลใหม่ในปี 2014

- CFC-12   ลดลงตั้งแต่ปี 1990 จนปัจจุบันมีค่าเข้าใกล้ศูนย์ิ่ ยังไม่มีข้อมูลใหม่ในปี 2014

- CFC-113  หยุดการเพิ่มตั้งแต่ปี 1990 และ มีแนวโน้มจะหยุดเพิ่มในเร็วๆนี้ ยังไม่มีข้อมูลใหม่ในปี 2014

- HCFC-141b และ HCFC-142b ซึ่งใช้เป็นสารทดแทน CFC มีค่าเพิ่มขึ้น

- CCl4    เพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 1991 หลังจากนั้นจึงมีการลดลงอย่างช้าๆ และกลับมาเพิ่มสูงขึ้นในปี 2013-2014 ซึ่งยังคงถูกผลิตปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องกว่าประมาณ 39 กิโลตันต่อปี และตกค้างในชั้นบรรยากาศโลกกว่า 40 %

- CH3CCl3  สูงสุดในปี 1992 จากนั้นลดลงอย่างชัดเจน ยังไม่มีข้อมูลใหม่ในปี 2014

ดังนั้นวิธีการนี้กล่าวคือ งานวิจัยใหม่พบว่าการปล่อยก๊าซในชั้นบรรยากาศจะคงอยู่ที่ 30% ของการผลิตสูงสุดจากทั่วโลก ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายออกมาควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็ตาม ซึ่งมันยังไม่พอและต้องลดให้มากกว่านี้อีก ไม่งั้นชั้นโอโซนอาจจะเสียหายมากกว่านี้ได้





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น