- สนามไฟฟ้า (ที่กำลังพุ่งลงมา)
- สนามแม่เหล็ก หรือ Schumann resonance (ที่กำลังพุ่งขึ้น)
นาย เกรกก์ บราเดน (Gregg Braden) นักธรณีวิทยาผู้ที่กำลังทำการศึกษาเรื่องนี้อยู่เรียกสถานที่ๆความถี่ชูมาน์ หรือความถี่คลื่นแม่เหล็ก และความถี่คลื่นไฟฟ้ามาตัดกันว่า“จุดศูนย์” (Zero point) มันปรากฏชัดว่า การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก จะเชื่อมโยงอยู่กับวัฏจักรกาแล็กซี่ และวัฏจักรสุริยะ หลายคนก็มีความเชื่อคล้ายๆกับบราเดนว่า ขั้วแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกจะเปลี่ยน เมื่อเข้าใกล้ Zero point
จากการสำรวจทางธรณีวิทยาหลายครั้ง ในแนวสันแอตแลนติกตอนกลางบ่งชี้ว่าแนวสันนี้ ได้เคยเกิดอะไรบางอย่างขึ้นมาก่อนราวๆ 171 ครั้ง ในประวัติศาสตร์ของโลก
นี่คือหน้าตาของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกอีกแบบหนึ่ง คุณจะเห็นว่าตอนนี้ มีจุดสีส้มมากมาย กำลังมาปรากฏอยู่ที่บริเวณส่วนบนของพื้นที่สีฟ้า และมีจุดสีฟ้ามากมาย กำลังปรากฏอยู่ที่ส่วนล่างของพื้นที่สีส้ม
นักวิทยาศาสตร์หลายคน ที่คอยแกะรอยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อยู่เชื่อว่า การสลับขั้วของแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
ภาพนี้แสดงให้เห็นว่า มันจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร หากว่าเรามองเห็นมันได้จากนอกโลก
ในเดือนมีนาคมเมื่อปี 2009 นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์หลายคน กำลังทำงานร่วมกับนักธรณีวิทยาหลายคน และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์อีกหลายคนในอินเดีย เพื่อสร้างแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ ที่พยากรณ์ปรากฏการณ์การพลิกกลับด้าน ของขั้วแม่เหล็กโลกเมื่อปี 2012 ซึ่งในช่วงเวลาแห่งปี 2012 นั่น ผู้คนกำลังตื่นหวาดกลัวกลับวันสิ้นโลก!! แต่มันไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ มันเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงภายในโลกเท่านั้นและมันจะส่งผลกระทบต่อไปในอนาคต
ในขณะที่โลกเคลื่อนผ่านการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ พวกเราทุกคนต้องการรู้ว่า “สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อฉันอย่างไร?” เราจะมาหาคำตอบของคำถามนี้กัน โดยดูที่ภาพต่อไปนี้
ภาพนี้มันแสดงให้เห็นว่า ตัวคุณ ดาวเคราะห์โลก และดวงอาทิตย์ เชื่อมโยงกัน และปฏิบัติการเหมือนเป็นระบบถ่ายทอดสัญญาณอะไรซักอย่าง
ภาพนี้แสดงให้เห็นสองอย่าง อย่างแรกคือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวคุณกับดาวเคราะห์โลก และดวงอาทิตย์อย่างที่สองคือ ทั้งหมดนี้ เชื่อมโยงและปฏิบัติการเหมือนเป็นระบบถ่ายทอดสัญญาณอย่างไร
วงกลมที่อยู่ด้านล่างของภาพนี้ คือตัวคุณ คุณจะเห็นว่า ภาพวงกลมที่แสดงตัวคุณนี้ จะมีสมองอยู่สองส่วนคือ ซีกซ้ายและซีกขวา ซึ่งจะแทนด้วยสีสว่างและสีมืดตามลำดับ และคุณก็จะเห็นว่า มันมีเส้นวงของการกำทอนกัน (resonance) และพลังงานแห่งการปฏิสัมพันธ์ ระหว่าง ตัวคุณกับโลกอยู่
วงกลมด้านบนของรูปภาพ หมายถึงดวงอาทิตย์ คุณจะเห็นว่า มันมีทั้งซีกซ้ายและซีกขวา รวมถึง ด้านสว่างและด้านมืดด้วยเช่นเดียวกัน และมันก็ยังมีเส้นวงแห่งการกำทอนกัน และพลังงานแห่งการปฏิสัมพันธ์ระหว่างดวงอาทิตย์กับ โลกอยู่อีกด้วย
ต้องเข้าใจว่า การที่ตัวคุณถูกเชื่อมโยงอยู่กับจักวาลนั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญจริงๆ เพราะอะไร?
ก็เพราะว่า คุณจะปลดปล่อยพลังงานออกมา ส่งผลกระทบต่อการสั่นสะเทือนของดาวเคราะห์โลกหนะสิ แล้วโลกก็จะถ่ายทอดสัญญาณนี้ไปสู่ดวงอาทิตย์ต่อ และดวงอาทิตย์ก็จะถ่ายทอดสัญญาณนั้นต่อไป สู่ใจกลางของกาแล็กซี่ ที่ๆมันจะออกไปสู่เทหะวัตถุ (celestial bodies) อื่นๆอีก
ในทางกลับกัน เทหะวัตถุต่างๆ ก็จะส่งผ่านสัญญาณสู่ศูนย์กลางกาแล็กซี่ จากนั้นมันก็จะถูกส่งผ่านไปสู่ดวงอาทิตย์ แล้วดวงอาทิตย์ก็จะส่งผ่านสัญญาณมาสู่โลก และโลกก็จะส่งผ่านมาสู่ตัวคุณอีกต่อหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล ล้วนเชื่อมโยงกันหมด
พวกเราทราบว่า ความสัมพันธ์ดังกล่าว ของการกำทอนในทำนองเดียวกันนี้ ระหว่างดวงอาทิตย์ของเรา กับกาแล็กซี่ และกับเทหะวัตถุอื่นๆ เช่น ซูเปอร์โนวาเป็นต้น เมื่อพวกเราเข้าใจถึงความเชื่อมโยงของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลแล้ว พวกเราก็จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับทุกสรรพสิ่งได้อย่างมีจิตสำนึก
นั่นหมายความว่า การเปลี่ยนระดับในครั้งนี้ ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นกับเรา แต่หมายความว่า พวกเรากำลังช่วยทำให้มันเกิดขึ้น และช่วยสร้างอนาคตให้กับตัวเราเองอยู่ และไม่ใช่กำลังเกิดขึ้นเฉพาะกับกาแล็กซี่ของเราเท่านั้น แต่บางที อาจจะกำลังเกิดขึ้นกับจักรวาลทั้งมวลด้วยซ้ำไป
DNA ของพวกเรา กำลังถูกตั้งโปรแกรมใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ และกระตุ้นการทำงานร่างกายของมนุษย์ กาลเวลากำลังเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าพลังแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่
หลายคนเชื่อว่า เวลา 24 ชั่วโมงต่อวันของพวกเราในตอนนี้ ถูกหดให้สั้นลงเหลือเท่ากับ 16 ชั่วโมงของเวลาในสมัยก่อน
มันชัดเจนมาก ว่าดาวเคราะห์โลก มีความเกี่ยวข้องกับระบบสุริยจักรวาลอย่างไร และมันก็มีความชัดเจนมากว่า พวกเรามีความเกี่ยวข้อง และเป็นส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์โลกอย่างไร
เมื่อดาวเคราะห์โลก ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มพลังงาน ที่ถูกส่งมาจากศูนย์กลางของกาแล็กซี่
พวกเราก็จะได้รับผลกระทบนั้นไปด้วย
ดาวเคราะห์โลก ก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ที่มีกระบวนการเจริญเติบโต และการเปลี่ยนรูปแบบ เป็นของเธอเอง ซึ่งพัฒนาการของพวกเรา ก็จะสะท้อนถึงพัฒนาการของเธอด้วย
Schumann Resonances ประโยชน์ของสนามแม่เหล็กโลกที่มีผลต่อสุขภาพ
กายจิตของคนเรานี้ได้รับอิทธิพลจากสนามพลังของโลกและจักรวาล ตั้งแต่สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และจักรราศีต่างๆ สนามแม่เหล็กโลกซึ่งยังเปลี่ยนแปรกับปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด กระแสน้ำในมหาสมุทร คลื่นใต้น้ำและเหนือน้ำ อุณหภูมิของโลก พายุฝนฟ้า เป็นต้น
ท้ายที่สุดคลื่นความถี่ที่คนเราประดิษฐ์ขึ้นเช่น คอมพิวเตอร์ หม้อแปลงไฟ เตาอบ ไดเป่าผม โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์กระทั่งเสียงดนตรี เพลง เสียงสวดมนต์ รวมไปถึงคลื่นข่าว คลื่นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เหล่านี้คือ องค์รวมของสิ่งต่างๆที่ส่งผลกลับไปกลับมาต่อชีวิตจิตใจของคนเรา เป็นที่รู้กันว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งคนเราที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ ต่างได้รับพลังงานชีวิตอยู่ตลอดเวลาจาก พลังชีวิตของโลก พลังนี้ก็คือสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง มันเป็นสนามพลังอ่อนๆที่เราได้รับอยู่ตลอดเวลา และถ้าเมื่อไหร่เราไม่ได้รับพลังนี้ ก็อาจเป็นเหตุให้เราป่วยเจ็บได้
คนเราไม่รู้จักความสำคัญของสนามแม่เหล็ก จนกระทั่งนักบินอวกาศทั้งสหรัฐและรัสเซียเกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว มึนหัว เมื่อทำงานอยู่ในอวกาศนาน องค์การนาซ่าเริ่มสังเกตอาการนี้ได้ จากนักบินรุ่นแรกๆ ซึ่งต้องออกไปนอกโลกพ้นจากแรงดึงดูดของโลก ปรากฏอาการเหล่านี้เหมือนกัน เขาเรียกชื่อกลุ่มอาการนี้ว่า “โรคอวกาศ (space sickness)”
จนในที่สุดองค์การนาซ่า NASA จึงต้องสร้าง สนามแม่เหล็กเทียมขึ้นในสถานีอวกาศ โดยให้สนามดังกล่าวมีความถี่ที่ 7.83 รอบต่อวินาที ซึ่งเท่ากับสนามแม่เหล็กโลก ต่อมา“โรคอวกาศ” จึงหายไป ขณะเดียวกัน ชุดอวกาศของรัสเซียยังได้ออกแบบให้ใส่แม่เหล็กไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของนักบินอวกาศด้วย
โลกของเราที่มีเส้นรอบวงที่พื้นผิวโลกราว 40000 Km(จุดนี้มีประจุรวมเป็น ลบ) และเหนือขึ้นไป 90 Km จะมีชั้นบรรยากาศ ไอโอโนสเฟียร์ (จุดนี้มีประจุรวมเป็น บวก) การที่ทั้ง 2 ชั้น นี้มีประจุไฟฟ้าที่ต่างกันทำให้เกิดการระบายประจุออกเป็นระยะๆ เกิดเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำ(a very low fundamental electro magnetic frequency)
ดังนั้นที่ว่างระหว่างพื้นผิวโลกกับชั้นบรรยากาศนี้จะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าวิ่งวนอยู่ในชั้นนี้และคลื่นนี้จะมีผลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้และเจ้าคลื่นนี้ที่วิ่งวนอยู่ตลอดเวลาก็คือคลื่นที่มีชื่อว่า Schumann Resonances
เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความเร็วเท่าแสง เขาจึงเอาระยะทางที่คลื่นวิ่งได้ใน 1 sec มาหารด้วยระยะเส้นรอบวงของโลก ก็จะได้ว่าใน 1 sec นั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้จะวิ่งได้ราวๆ 7.5 รอบ เขาจึงคำนวณได้ว่า resonance นี้เท่ากับ 7.5 Hz ในทางกลับกันที่ชั้นบรรยากาศที่สูงขิ้นไปเส้นรอบวงจะมากขึ้นและตัวหารมากก็จะได้ความถี่ที่ต่ำลงไปอีก แต่เหมือนเขาจะเน้นที่ความถี่ที่วิ่งบนผิวโลกเพราะเป็นความถี่ที่มีผลต่อมนุษย์ที่อยู่บนโลก
จากความถี่ที่วัดได้จริง (specifically 7.8, 14, 20, 26, 33, 39 and 45 Hertz, with a daily variation of about +/- 0.5 Hertz.) จะเห็นว่าค่าที่วัดได้ต่ำสุด นั้นสอดคล้องกับค่าที่คำนวณได้ (7.5Hz) ส่วนความถี่ที่สูงขึ้นไปค่ามันแปลกไปเล็กน้อย แต่โดยรวมๆ รู้สึกว่ามันเป็นค่าจำนวนเท่าของเลข 7 (ซึ่งควรจะเป็น 7 ,14, 21 ,28, 35, 42, 49)
คลื่น Schumann Resonances ในบทความกล่าวเอาไว้ว่ามันจะเสียไปในเมือง ในสถานที่ที่มีสิ่งกีดขวาง ในห้องฟัง ทำให้หลายๆสถานที่บนโลกนี้โดยเฉพาะในห้องฟัง ไม่มีคลื่นตัวนี้ ซึ่งคลื่นตัวนี้มีผลต่อการทำงานของสมองมนุษย์ในหลายๆด้าน ทำให้การฟังเพลงก็ไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่เจ้าอุปกรณ์นี้(RR-77)จะสร้างมันขึ้นมาในห้องฟังของเรา และทำให้เราฟังเพลงได้ดีขึ้น
เครื่อง RR-77 ซึ่งเป็นอุปกรณ์ปล่อยคลื่นความถี่ 7.83 Hz เพื่อชิลด์คลื่นแม่เหล็กไม่ให้มารบกวนสมองของมนุษย์ และรวมไปถึงไม่ให้มารบกวนอุปกรณ์เครื่องเสียงทั้งหมดในห้องฟังเพลงอีกด้วย
ในญี่ปุ่น นักวิจัยชื่อ ไคโออิชิ นาคากาวา พบว่า คนงานก่อสร้างตึกสูงที่ต้องใช้โครงเหล็กเป็นจำนวนมาก มักป่วยด้วยอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง นอนไม่หลับ เขาพบว่าโครงเหล็กที่เป็นแผ่นของตึก ทำหน้าที่เป็นฉนวน ที่กันเอาสนามแม่เหล็กโลกออกไปจากพื้นที่ภายในอาคาร เป็นผลให้คนงานเกิดอาการป่วยเจ็บได้
เมื่อสร้างตึกไปหลาย ๆ เดือนก็พบว่า คนงานเหล่านี้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว ปวดข้อ โดยไม่ปรากฏสาเหตุ อาการเหล่านี้ พบอีกในเวลา 30 ปีหลัง
ประเด็นนี้เป็นเรื่องน่าคิดต่อไปว่า ทุกวันนี้ผู้คนในสำนักงานทำงานอยู่ในตึกสูงเสียโดยส่วนมาก อาการเจ็บป่วยจำนวนไม่น้อย อาจเกิดจากภาวะพร่องสนามแม่เหล็กโลกก็ได้
Schumann Resonances จะพบทั่วไปในธรรมชาติ มีมากใน ป่า น้ำตก ชายทะเล สาเหตุที่คลื่นนี้ลดลงในเมือง เป็นเพราะเราสร้าง Electromagnetic field (EMF) ขึ้นมามาก เจ้า EMF นี้ไปหักล้าง Schumann Resonances ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นความถี่โลก และมีประโยชน์บางประการกับสุขภาพมนุษย์ EMF มาจากไฟฟ้า สายไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้า ทีวี มือถือ ฯลฯ ยิ่งในเมืองก็ยิ่งมาก ผลกระทบต่อคนก็มากไปด้วย
และเหตุฉะนี้เอง การพักผ่อนตากอากาศ พาตัวเองไปอยู่ในท่ามกลางภูเขา แม่น้ำ ทะเล จึงเปิดโอกาสให้คนเราได้รับการอาบไล้จากสนามแม่เหล็กโลก เพิ่มพลังชีวิตสำหรับการทำงานอันตรากตรำในวันต่อๆ ไป และขณะเดียวกันการใช้อุปกรณ์ที่ให้สนามแม่เหล็กอ่อน ๆ แก่ร่างกายของคนที่เจ็บป่วยด้วยภาวะพร่องสนามแม่เหล็ก ก็จะพบว่าอาการป่วยเจ็บดีขึ้น
นักสัตววิทยายังสังเกตว่า สัตว์แต่ละชนิดรับรู้ต่อสนามแม่เหล็กโลกที่แตกต่างกัน นกพิราบสื่อสารสามารถหาทางบินกลับรังได้ ก็เพราะบางส่วนในสมองของมันรับรู้ต่อความเข้มจางของสนามแม่เหล็กโลกในจุดที่แตกต่างกัน
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งทดลองใช้เครื่องปล่อยสัญญาณวิทยุขนาดเล็กติดไว้ที่หัวนกพิราบ สัญญาณดังกล่าวรบกวนการรับรู้สนามแม่เหล็กโลกของนกพิราบ ทำให้นกไม่สามารถบินกลับรังได้ ข้อคิดจากเรื่องนี้มีอยู่ว่า
คนสมัยนี้ขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้าน แต่มัวหลงระเริงโทรศัพท์มือถือคุยกับแฟนอยู่ตลอดเวลา อาจถึงกับหลงทิศผิดทาง กลับบ้านไม่ถูกก็เป็นได้
ทีนี้มาถึงก้อนหินและแร่ธาตุบ้าง นักธรณีวิทยาเชื่อว่า สนามแม่เหล็กโลกเกิดขึ้นโดยเหล็กหลอมละลายที่เป็นลาวาอยู่ใต้พื้นโลก
เมื่อภูเขาไฟระเบิดลาวาที่พวยพุ่งขึ้นแล้วเย็นตัวลงเป็นก้อนหินชนิดต่างๆ และกลายเป็นเปลือกโลกทีละชั้นๆ เปลือกโลกซึ่งก็ประกอบด้วยก้อนหินที่ปนธาตุเหล็กเหล่านี้จึงแฝงไว้ด้วยสนาม แม่เหล็กแรงบ้าง เบาบ้าง อยู่ภายในหินชั้นต่างๆ เหล่านี้ ขณะเดียวกันสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ซึ่งวิวัฒนาการมาควบคู่กับกำเนิดของโลก ต่างก็มีอิทธิผลของสนามแม่เหล็กโลกแฝงอยู่ในทุกๆ อณูของชีวิตอยู่ด้วย
นี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมนกพิราบจึงรับรู้สนามแม่เหล็กได้เหตุเพราะว่าในสมองบางพื้นที่ของนก ปรากฏมีแร่ธาตุแมกนีไทต์อยู่มากเป็นพิเศษ
และงานวิจัยในระยะหลังก็พิสูจน์ด้วยว่าสมองของคนเราก็มีแมกนีไทต์อยู่ใน พื้นที่บางส่วน รวมทั้งที่ต่อมหมวกไตด้วย ตรงนี้เป็นข้อสันนิษฐานด้วยว่า นักเพ่งพลังจิตบางคนที่สามารถใช้ไม้รูปตัววาย หาแหล่งน้ำใต้ดินได้ก็อาศัยแมกเนไตต์ในสมองบางส่วน และความสามารถนี้จะหมดไปทันทีถ้าให้เขาสวมหมวกและปิดพื้นที่ต่อมหมวกไตด้วย เครื่องป้องกันสนามแม่เหล็ก ความรู้ต่อมาว่าด้วยสนามแม่เหล็กกับสิ่งมีชีวิตยังพบอีกด้วยว่า
ทิศทางและการหันขั้วของสนามแม่เหล็ก มีผลที่แตกต่างกันต่อการเจริญเติบโตและการเผาผลาญภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองปลูกเมล็ดข้าวว่านแบบการวางเมล็ดตามแนวยาว และตามขวางต่อสนามแม่เหล็กโลกแล้วพบว่า เมล็ดที่วางไว้ให้ทอดตัวตามแนวเหนือใต้สามารถงอกและเติบโตดีกว่าเมล็ดที่ ถูกวางไว้ตามขวาง
ความรู้ละเอียดกว่านั้นยังพบอีกว่า ความเข้มจางของสนามแม่เหล็กโลกแปรเปลี่ยนตามแต่ละสถานที่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของเปลือกโลกในแต่ละแห่งที่แตกต่างกัน รวมทั้งปริมาณแร่ธาตุใต้พื้นดินแต่ละแห่งที่แตกต่างกันด้วย
นักธรณีวิทยาพบว่าสนามแม่เหล็กโลกที่อเมริกาหรือรัสเซียมีความเข้มกว่า สนามแม่เหล็กโลกที่บราซิลสนามแม่เหล็กยังเปลี่ยนแปรตามช่วงเวลาอีกด้วย เวลากลางคืนสนามแม่เหล็กโลกจะเข้ม กว่าเวลากลางวัน สาเหตุเพราะอิทธิพลของดวงอาทิตย์ ยามกลางวันพื้นโลกส่วนนั้นหันเข้าหาดวงอาทิตย์ แรงจากดวงอาทิตย์ทำให้สนามแม่เหล็กโลกไม่อาจเปล่งพลังสู่พื้นโลกเท่าที่ควร ยามกลางคืนพื้นโลกส่วนนั้นหันออกจากดวงอาทิตย์ แรงสนามแม่เหล็กโลกจึงเปล่งพลังสู่พื้นโลกได้เต็มที่
และเนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกช่วยจรรโลงสุขภาพ ดังนั้น การนอนกลางคืนร่างกายมีโอกาส “ชาร์จพลัง” เพิ่มขึ้น ทำให้ตื่นด้วยความสดใสกระปรี้กระเปร่าส่วนการนอนกลางวันร่างกายมีโอกาส “ชาร์จพลัง” ได้น้อยกว่า และใครที่ทำงานกลางคืนนอนกลางวัน สุขภาพจึงมักจะโทรมเร็ว วัยรุ่นวัยหวานโปรดฟังทางนี้ การนอนดึกๆ เล่นเน็ต ไม่หลับไม่นอนนั้น โทรมเร็วสุดสุดเด้อ…สิบอกไห่
สนามแม่เหล็กโลกโดยปกติจะสั่นสะเทือนด้วยความถี่ 7.83 รอบ/วินาที ขณะเดียวกันยังมีการสั่นสะเทือนขนาดจิ๋วที่แปรเปลี่ยนอยู่ในระหว่างคลื่น สั่นสะเทือนพื้นฐานอีกด้วย มันมีขนาด 1 รอบจนถึง 25 รอบ/วินาที
นักธรณีวิทยายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกแปร เปลี่ยนเป็นวัฏจักรคือลดลงและเพิ่มขึ้น ทั้งนี้โดยมีรอบระยะของการลดและการเพิ่มรอบละ 500,000 ปี และโลก ณ ขณะนี้อยู่ในระยะที่ความเข้มกำลังลดลง จากขนาดความเข้ม 4 เกาส์ เหลือเพียง 0.4-0.5 เกาส์ในปัจจุบัน เขารู้เรื่องนี้ได้โดยเก็บตัวอย่างของฟอสซิลอายุต่างๆ กันมาเทียบปริมาณความเข้มของสนามแม่เหล็กที่แฝงอยู่ในฟอสซิลเหล่านี้
สมมติฐานจึงมีอีกว่า ปัจจัยอะไรก็ตามที่ไปลดความเข้มสนามแม่เหล็กโลก จะไม่ดีต่อสุขภาพ
และปัจจัยที่เพิ่มสนามแม่เหล็กโลกที่มีต่อตัวเรา ด้วยความเข้มที่พอประมาณ จะช่วยจรรโลงสุขภาพ
และตรงนี้เองเกิดมีข้อสันนิษฐานเพิ่มเติมว่า ศาสตร์โบราณว่าด้วยการจัดทิศทางของอาคารบ้านเรือน ประตู หน้าต่าง การตกแต่งด้วยต้นไม้ สระน้ำ และก้อนหินในบ้านหรือสำนักงาน ที่เรารู้จักกันในนาม “เฟิงสุ่ย Fengshui” หรือ “ฮวงจุ้ย” นั้น น่าจะมีอิทธิพลต่อสนามพลังของแม่เหล็กโลก
ข้อสงสัยมีว่า เพียงแค่ก้อนหิน ต้นไม้ คอนกรีต จะไปมีแรงเหนี่ยวนำอะไรต่อสนามแม่เหล็กโลก จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ต้องรู้จักเรื่องของปฐพีวิทยา เขาแบ่งสิ่งต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นโลหะ ออกตามคุณสมบัติทางแม่เหล็กออกเป็นไดอาแมกเนติก (diamagnetic) คือสารที่ถูกปฏิเสธหรือผลักดันโดยพลังแม่เหล็กแรงๆ และสารพาราแมกเนติก (paramagnetic) มีคุณสมบัติที่ถูกดูดดึงได้โดยสนามแม่เหล็กแรงๆ ชนิดหลังนี้ได้แก่ แกรนิต ดิน หินทราย ซึ่งล้วนเป็นวัสดุก่อสร้างแต่ครั้งโบราณจนปัจจุบัน สารพาราแมกเนติกแม้จะไม่ได้กลายเป็นแม่เหล็กในตัวมันเองได้เหมือนเหล็กหรือ โคบอลต์ แต่มันก็ยอมรับและดูดซับพลังแม่เหล็กระดับหนึ่ง และวัสดุก่อสร้างเหล่านี้มีผลต่อคน สัตว์ และพืชที่อาศัยอยู่ในอาคารสิ่งก่อสร้างเหล่านี้
นี่คือความลับของสิ่งก่อสร้างโบราณนับตั้งแต่พีระมิดหรือแท่งหินโอ เบลิสก์ของอียิปต์ สโตนเฮนช์ ในอังกฤษ สุสานซื่อซานหลิงในจีน รวมถึงตึกกลมในไอร์แลนด์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากในแง่ของสนามพลัง และมีงานวิจัยที่สนุกสนานมากว่าด้วยสนามพลังเหล่านี้
Lunar : BrainWave Generator / Magic Resonance
อุปกรณ์สร้างคลื่นสนามแม่เหล็กโลก GeoMagnetic ( ค่าความถี่เดียวกันกับ Schumann Resonance )คลื่นสมองมีความถี่ต่ำ เกิดการสงบ ผ่อนคลาย เรียนรู้ได้ดีขึ้น มีจินตนาการที่ดี ระบบการทำงานของร่างกายมีความถูกต้อง สมดุล
ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศแถบเอชีย มีใช้อุปกรณ์ประเภทนี้ สำหรับด้านการแพทย์ เพื่อบำบัดโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า บรรเทาอาการเจ็บป่วย เครียด นอนไม่หลับ ด้านสุขภาพ ใช้ฝึกสมาธิ เล่นโยคะ สปาบำบัด เล่นดนตรี การศึกษา เช่น โรงเรียนสอนภาษา รวมถึง ช่วยพัฒนาการนอนหลับ ให้หลับได้สบาย และหลับได้ลึก
ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.magicboxaudio.com/lunar-brainwave-generator/
Melatonin
เป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมไพนีลเป็นส่วนใหญ่ พบในร่างกายบริเวณไข สันหลังและเลือด พบน้อยในช่วงเวลากลางวัน และพบมากในช่วงเวลากลางคืน มีสรรพคุณทำ ให้นอนง่ายช่วยแก้ปัญหาการนอนไม่หลับในผู้ที่เดินทางโดยเครื่องบินเป็นระยะเวลานาน
เมื่อคนเราอายุมากขึ้น เมลาโทนินจะลดลงเรื่อย ๆ ผลของเมลาโทนินในการควบคุมระบบวัฏจักรประจำวันของร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะกับการนอนหลับ แต่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการด้านออกซิเดชัน รวมถึงกลไกการชราภาพของร่างกาย โดยมีรายงานทั้งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองว่าเมลาโทนนินสามารถกำจัดอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ต้านออกซิเดวัน และลดการถูกทำลายของเซลล์ได้ ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวทำให้มีการศึกษาการใช้เมลาโทนินในการรักษาโรคต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพากินสัน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง
งานวิจัยในประเทศไทย
กันยายน 2552 อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล ศึกษาเมลาโทนิน พบว่า ช่วยเพิ่มสเต็มเซลล์ระบบประสาทในสมอง และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ศาสตราจารย์ นายแพทย์อนันต์ ศรีเกียรติขจร ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาสารเมลาโทนิน พบว่า สารเมลาโทนินสามารถยับยั้งการเพิ่มของการไหลเวียนเลือดที่ผิวสมอง และลดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดจุลภาค ผลการศึกษานี้อาจเป็นประโยชน์ในการป้องกันหรือบรรเทาอาการปวดในภาวะปวดศีรษะไมเกรน
อ้างอิงข้อมูล
- บทบาทประโยชน์ของสนามแม่เหล็กโลกต่อสุขภาพ ที่มา : นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 12 สิงหาคม 2548 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1304
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
http://www.scribd.com/doc/18762027/Dr-Neil-Cherry-Evidence-That-Electromagnetic-Radiation-is-Genotoxic-2002
http://www.mindmachines.com/
http://www.magnetic-therapy-living.com/schumann-resonance.html
http://www.soundfountain.com/amb/r77acousticrevive.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Schumann_resonances
https://wissenschaft3000.wordpress.com/2012/11/15/
http://www.metatech.org/wp/spiritual-warfare/schumann-resonance/
http://nanan-archyshop.blogspot.com/2012/01/what-are-implications-for-earth-and-for.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น